ในฐานะครูหรือผู้ปกครองของโรงเรียนอนุบาล คุณอาจสังเกตเห็นว่าตารางเวลาที่มีโครงสร้างชัดเจนช่วยให้รู้สึกปลอดภัยและช่วยให้เด็กๆ เข้าใจว่าจะคาดหวังอะไรได้บ้างในแต่ละวัน แต่คุณจะออกแบบตารางเวลาที่สมดุลระหว่างการเรียนรู้ การเล่น และการพักผ่อนได้อย่างไร และคุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าตารางเวลานั้นมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของเด็กๆ
กุญแจสำคัญในการสร้างตารางเรียนก่อนวัยเรียนที่ประสบความสำเร็จคือการสร้างสมดุลระหว่างกิจกรรมที่มีโครงสร้างและการเล่นอิสระ โดยคำนึงถึงความต้องการพัฒนาการของเด็กอยู่เสมอ ตารางเรียนที่จัดอย่างเป็นระบบจะช่วยให้เด็ก ๆ มีส่วนร่วม รู้สึกปลอดภัย และมีโอกาสสำรวจ เรียนรู้ และพักผ่อนในสภาพแวดล้อมที่สมดุล คุณสามารถสร้างตารางเรียนที่เหมาะกับทุกคนได้ โดยคำนึงถึงจังหวะและความชอบตามธรรมชาติของพวกเขา
การจัดตารางเรียนให้เหมาะสมนั้นไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด ในหัวข้อต่อไปนี้ ฉันจะอธิบายองค์ประกอบสำคัญในการจัดกิจวัตรประจำวันอย่างมีประสิทธิผลสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน และวิธีนำองค์ประกอบเหล่านี้ไปใช้ในชั้นเรียน
ทำไมตารางเรียนก่อนวัยเรียนจึงมีความสำคัญ?
ตารางเรียนก่อนวัยเรียนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของเด็กเล็ก เพราะไม่เพียงแต่เป็นกิจวัตรประจำวันเท่านั้น สำหรับเด็ก โดยเฉพาะเด็กในช่วงวัยกำลังพัฒนา การจัดตารางเรียนที่คาดเดาได้จะช่วยส่งเสริมความรู้สึกปลอดภัยและช่วยสร้างนิสัยเชิงบวกที่คงอยู่ตลอดชีวิต

ส่งเสริมความปลอดภัยและเสถียรภาพ:เด็กก่อนวัยเรียนจะเจริญเติบโตได้ดีด้วยความสม่ำเสมอและกิจวัตรประจำวัน การรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตลอดทั้งวันจะช่วยให้เด็กๆ รู้สึกปลอดภัย ลดความวิตกกังวล ตารางเวลาที่มีโครงสร้างที่ดีจะช่วยให้เด็กๆ คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ (เช่น เปลี่ยนจากเวลาเล่นเป็นเวลากินขนม) ซึ่งส่งเสริมความมั่นคงทางอารมณ์
ส่งเสริมความเป็นอิสระและการควบคุมตนเอง:เมื่อเด็กๆ รู้ว่าจะมีกิจกรรมอะไรเกิดขึ้นต่อไป พวกเขาก็จะเริ่มรู้สึกว่าเป็นเจ้าของเวลาของตัวเอง ตัวอย่างเช่น การรู้ว่าถึงเวลาทำความสะอาดหลังเล่นจะช่วยสอนให้เด็กๆ มีความรับผิดชอบและส่งเสริมการควบคุมตนเอง เมื่อเวลาผ่านไป เด็กๆ จะเรียนรู้ที่จะจัดการการกระทำของตนเองตามตารางเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้
ส่งเสริมการพัฒนาทักษะการจัดการเวลา:ตารางเรียนก่อนวัยเรียนช่วยส่งเสริมทักษะการจัดการเวลาตั้งแต่เนิ่นๆ เด็กๆ เริ่มเข้าใจแนวคิดเรื่องเวลาผ่านกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลาอ่านนิทาน เล่นกลางแจ้ง หรือแม้แต่เวลางีบหลับ ทักษะตั้งแต่เนิ่นๆ เหล่านี้จะช่วยวางรากฐานสำหรับการจัดระเบียบและกำหนดลำดับความสำคัญในอนาคตได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความรู้สึกสนุกสนานเอาไว้ด้วย
เพิ่มโอกาสการเรียนรู้ให้สูงสุด:ตารางเรียนก่อนวัยเรียนที่มีโครงสร้างชัดเจนช่วยให้ครูสามารถวางแผนวันเรียนได้อย่างสมดุล โดยผสมผสานองค์ประกอบที่จำเป็นทั้งหมดในการพัฒนาเด็ก ได้แก่ กิจกรรมทางวิชาการ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การเล่นทางกายภาพ และช่วงเวลาแห่งความเงียบสงบ เมื่อออกแบบตารางเรียนอย่างรอบคอบ ก็จะไม่มีการมองข้ามส่วนใดของการพัฒนาเด็ก และแต่ละชั่วโมงจะถูกใช้ไปอย่างมีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ของพวกเขา
ช่วยให้นักการศึกษาและผู้ปกครองติดตามความคืบหน้า:ตารางเรียนก่อนวัยเรียนที่ชัดเจนช่วยให้ครูและผู้ปกครองติดตามความก้าวหน้าของเด็กๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทราบว่าเด็กๆ ใช้เวลากับงานด้านการศึกษาและการเล่นมากเพียงใด ทำให้ระบุจุดแข็งและจุดที่ต้องเติบโตได้ง่ายขึ้น ครูสามารถปรับตารางเรียนเพื่อเน้นที่ด้านที่เด็กๆ ต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติมได้
หลักพื้นฐานของตารางกิจกรรมประจำวันของเด็กก่อนวัยเรียน
การจัดตารางเรียนก่อนวัยเรียนให้เหมาะสมต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบและความเข้าใจในความต้องการของเด็กเล็ก ต่อไปนี้คือองค์ประกอบพื้นฐานที่ต้องพิจารณาเมื่อจัดตารางเรียนก่อนวัยเรียน

1. เริ่มต้นด้วยการมาถึงตรงเวลาสม่ำเสมอ
การเริ่มต้นวันใหม่แบบคาดเดาได้จะช่วยให้เด็กๆ รู้สึกปลอดภัยและมั่นใจ กำหนดเวลาการมาถึงที่แน่นอน โดยให้มีความยืดหยุ่นตามตารางเวลาของผู้ปกครอง เมื่อเด็กๆ มาถึง ให้ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น เล่นอิสระหรือทักทายง่ายๆ เพื่อช่วยให้พวกเขาปรับตัวเข้ากับวันใหม่ได้อย่างราบรื่น
2. เวลาวงกลมตอนเช้า
เวลาวงกลมเป็นส่วนสำคัญของวันเรียนก่อนวัยเรียน เวลานี้ควรประกอบไปด้วยการทักทาย ทบทวนตารางเรียน และบางทีอาจมีกิจกรรมการศึกษาสั้นๆ เช่น การร้องเพลง การตรวจสอบสภาพอากาศ หรือกิจกรรมปฏิทิน เวลาวงกลม ช่วยให้เด็ก ๆ รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มและสร้างความรู้สึกของชุมชน
3. กิจกรรมการเรียนรู้
วางแผนกิจกรรมการเรียนรู้เฉพาะที่สอดคล้องกับหลักสูตรก่อนวัยเรียนของคุณ ซึ่งอาจรวมถึงการเล่านิทาน งานศิลปะและงานฝีมือ หรือการทดลองทางวิทยาศาสตร์ง่ายๆ ให้เวลาแต่ละกิจกรรมระหว่าง 20-30 นาทีเพื่อให้ตรงกับช่วงความสนใจของเด็กก่อนวัยเรียน สลับประเภทของกิจกรรมเพื่อให้สิ่งต่างๆ น่าสนใจและน่าดึงดูด
4. เวลาของว่าง
เด็กก่อนวัยเรียนต้องกินของว่างเป็นประจำเพื่อให้มีพลัง ควรให้เด็กได้พักกินของว่างสั้นๆ โดยเลือกของว่างที่ดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้ ช่วงเวลากินของว่างยังเป็นโอกาสทางสังคมที่เด็กๆ จะได้ฝึกทักษะการแบ่งปันและการสนทนา
5. การเล่นกลางแจ้งหรือกิจกรรมทางกาย
รวมเข้าด้วยกัน การเล่นกลางแจ้ง หรือกิจกรรมทางกายในตารางประจำวันของโรงเรียนอนุบาล ไม่ว่าจะวิ่งเล่นข้างนอก เล่นเกม หรือสำรวจธรรมชาติ การใช้เวลาอยู่กลางแจ้งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวและช่วยให้เด็กๆ ใช้พลังงาน ควรวางแผนเล่นกลางแจ้งอย่างน้อย 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ
6. เวลาเงียบหรืองีบหลับ
เด็กก่อนวัยเรียนต้องการเวลาพักผ่อนเพื่อชาร์จพลังใหม่ ช่วงเวลาที่เงียบสงบหรืองีบหลับกลางวันถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยให้เด็กๆ ได้พักผ่อน แม้ว่าเด็กทุกคนไม่จำเป็นต้องงีบหลับ แต่กิจกรรมที่เงียบสงบ เช่น การอ่านหนังสือหรือฟังเพลงผ่อนคลายก็ช่วยให้พักผ่อนได้
7. กิจกรรมกลุ่มและการเล่น
นอกจากกิจกรรมส่วนบุคคลแล้ว ควรมีเวลาสำหรับการเล่นเป็นกลุ่มและกิจกรรมร่วมมือกัน การเล่นเป็นกลุ่มช่วยให้เด็กๆ พัฒนาทักษะทางสังคมฝึกฝนการทำงานเป็นทีมและเรียนรู้การแก้ไขข้อขัดแย้ง เปิดโอกาสให้ทำกิจกรรมกลุ่มอย่างเป็นระบบ (เช่น โปรเจ็กต์ศิลปะหรือเกมกลุ่ม) และเล่นอิสระอย่างไม่มีระบบ
8. การปิดวงหรือช่วงเวลาแห่งการไตร่ตรอง
ปิดท้ายวันด้วยการพูดปิดท้ายสั้นๆ ใช้เวลาช่วงนี้ทบทวนเหตุการณ์ในวันนั้น ร้องเพลงปิดท้าย หรือให้เด็กๆ แบ่งปันสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ การทำเช่นนี้จะช่วยให้เด็กๆ เปลี่ยนผ่านจากวันที่มีระเบียบไปสู่การกลับบ้าน และปิดท้ายวันด้วย
9. เวลาการรับ
สร้างขั้นตอนการรับเด็กที่สม่ำเสมอและสงบ ช่วยให้เด็กรู้สึกพร้อมและผ่อนคลายเมื่อวันสิ้นสุดลง แจ้งผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเกี่ยวกับวันของลูกและให้แน่ใจว่าจะดำเนินไปอย่างราบรื่น
เปลี่ยนห้องเรียนของคุณด้วยโซลูชันเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบเอง
เคล็ดลับสำหรับครูและผู้ดูแลเด็กในการจัดตารางเวลาเรียนก่อนวัยเรียน
การสร้างโครงสร้าง ตารางเรียนก่อนวัยเรียน ส่งเสริมสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์และผ่อนคลาย ตารางเวลาที่วางแผนไว้อย่างดีจะช่วยให้เด็กๆ รู้สึกปลอดภัยและเข้าใจกิจวัตรประจำวัน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนพัฒนาการในด้านสำคัญๆ เช่น ทักษะทางปัญญา สังคม และอารมณ์ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับบางประการที่จะช่วยให้คุณออกแบบตารางเวลาที่มีประสิทธิภาพสำหรับห้องเรียนก่อนวัยเรียนของคุณได้

1. สร้างกิจวัตรประจำวันที่สม่ำเสมอ
ตารางเรียนก่อนวัยเรียนที่มีโครงสร้างชัดเจนเริ่มต้นด้วยความสม่ำเสมอ เด็กก่อนวัยเรียนจะเติบโตได้ดีเมื่อมีกิจวัตรประจำวัน เพราะกิจวัตรประจำวันทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยและคาดเดาได้ พยายามให้กิจกรรมที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันทุกวัน ตัวอย่างเช่น ควรจัดเวลาทำกิจกรรมเป็นวงกลม พักรับประทานอาหารว่าง และเล่นในช่วงเวลาที่กำหนดในแต่ละวัน เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจถึงการดำเนินไปของเวลา
2. แบ่งวันออกเป็นส่วนๆ ที่จัดการได้
เด็กก่อนวัยเรียนมีสมาธิสั้น ดังนั้นการแบ่งเวลาในแต่ละวันให้สั้นลงจะช่วยให้เด็กมีสมาธิจดจ่อมากขึ้น กิจกรรมต่างๆ เช่น วงสนทนา กลุ่ม และการอ่านหนังสือเงียบๆ ควรใช้เวลาราวๆ 20-30 นาที สำหรับการเล่นที่กระตือรือร้นหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรใช้เวลาประมาณ 45 นาที เพื่อให้เด็กมีพื้นที่เพียงพอในการใช้พลังงาน
3. สมดุลระหว่างเวลาที่มีโครงสร้างและเวลาที่ไม่มีโครงสร้าง
แม้ว่ากิจกรรมที่มีโครงสร้างจะมีความสำคัญ แต่การเล่นแบบไม่มีโครงสร้างก็มีความสำคัญไม่แพ้กันสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน เด็กๆ จำเป็นต้องมีโอกาสได้เล่นอิสระ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาได้สำรวจความคิดสร้างสรรค์และพัฒนาทักษะทางสังคม ตรวจสอบว่าตารางเรียนก่อนวัยเรียนของคุณมีเวลาเล่นอิสระเพียงพอ ทั้งในร่มและกลางแจ้ง
4. ผสมผสานการเรียนรู้และความสนุกสนาน
ผสมผสานกิจกรรมการศึกษาและการเล่นเข้าไว้ในตารางกิจกรรม กิจกรรมต่างๆ เช่น งานศิลปะและงานฝีมือ เพลง และการเล่นที่กระตุ้นประสาทสัมผัส จะช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กๆ และทำให้ประสบการณ์สนุกสนาน การผสมผสานที่สมดุลจะช่วยให้เด็กๆ มีส่วนร่วมและมีแรงจูงใจที่จะเข้าร่วมตลอดทั้งวัน
5. กำหนดลำดับความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนผ่านระหว่างกิจกรรมต่างๆ อาจเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับเด็กเล็ก ซึ่งอาจมีปัญหาในการเปลี่ยนเกียร์ เพื่อช่วยให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างรวดเร็ว ควรมีกิจกรรมการเปลี่ยนผ่านสั้นๆ เช่น เพลง การเล่นนิ้ว หรือคำแนะนำง่ายๆ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านจากกิจกรรมหนึ่งไปสู่อีกกิจกรรมหนึ่งราบรื่นขึ้น โครงสร้างการเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจนจะช่วยลดความสับสนและช่วยให้เด็กๆ มีสมาธิจดจ่อ
6. มีความยืดหยุ่น
แม้ว่าการปฏิบัติตามกิจวัตรประจำวันจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความยืดหยุ่นก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน บางครั้งกิจกรรมอาจใช้เวลานานกว่าที่วางแผนไว้ หรือเด็กๆ อาจต้องการเวลาเพิ่มเติมในการทำภารกิจให้เสร็จ การเผื่อเวลาไว้ในตารางเรียนก่อนวัยเรียนจะช่วยให้ตอบสนองความต้องการของเด็กๆ ได้ และยังช่วยลดความเครียดของทั้งคุณและเด็กๆ ได้อีกด้วย
ตารางกิจกรรมสำหรับทารก
ตารางการดูแลเด็กที่มีโครงสร้างที่ดีจะช่วยสนับสนุนพัฒนาการของเด็ก ควรปรับตารางให้สอดคล้องกับพัฒนาการและความต้องการของเด็กแต่ละคน ด้านล่างนี้ เราได้สรุปพัฒนาการสำคัญๆ และเสนอตารางตัวอย่างเพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนกิจกรรมประจำวัน เพื่อให้แน่ใจว่าทารกจะได้รับสภาพแวดล้อมที่สมดุลและอบอุ่น
พัฒนาการสำคัญในช่วงวัยทารก
เมื่อสร้างตารางการดูแลเด็กแรกเกิด จำเป็นต้องพิจารณาความต้องการทางกายภาพ ทางปัญญา และทางอารมณ์เฉพาะตัวที่เกี่ยวข้องกับแต่ละขั้นตอนของการพัฒนา

1. 0 ถึง 3 เดือน:
- พัฒนาการด้านร่างกาย:
- เมื่อนอนคว่ำจะยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย
- รีเฟล็กซ์เช่น การจับและการดูด จะโดดเด่น
- ทำให้มีการเคลื่อนไหวแขนและขาแบบกระตุก
- พัฒนาการทางปัญญา:
- โฟกัสที่ใบหน้า ติดตามวัตถุด้วยดวงตา
- เริ่มสามารถจดจำเสียงพูดและเสียงอื่นๆ ได้
- พัฒนาการทางสังคม/อารมณ์:
- ยิ้มตอบต่อผู้อื่น
- เริ่มมีการสบตากัน
2. 4 ถึง 6 เดือน:
- พัฒนาการด้านร่างกาย:
- พลิกได้สองทาง (หน้าไปหลัง หลังไปหน้า)
- เอื้อมไปหยิบวัตถุ
- สามารถนั่งได้โดยมีที่วางพัก
- พัฒนาการทางปัญญา:
- สำรวจวัตถุด้วยการใส่เข้าปาก
- แสดงความสนใจในพื้นผิวและรูปทรงที่แตกต่างกัน
- พัฒนาการทางสังคม/อารมณ์:
- หัวเราะและอาจกรี๊ด
- จดจำใบหน้าที่คุ้นเคยและเริ่มแสดงความชอบต่อคนที่คุ้นเคย
3. 7 ถึง 9 เดือน:
- พัฒนาการด้านร่างกาย:
- นั่งตัวตรงโดยไม่ต้องรองรับ
- คลานหรือเคลื่อนที่ด้วยท้อง
- เริ่มดึงขึ้นมายืน
- พัฒนาการทางปัญญา:
- เข้าใจถึงความคงอยู่ของวัตถุ (รู้ว่าวัตถุยังคงมีอยู่แม้จะมองไม่เห็นก็ตาม)
- ตอบสนองต่อชื่อตัวเองและคำศัพท์ง่ายๆ เช่น “ไม่” หรือ “ลาก่อน”
- พัฒนาการทางสังคม/อารมณ์:
- อาจประสบกับความวิตกกังวลจากการแยกทาง
- แสดงให้เห็นถึงความชอบที่ชัดเจนต่อบุคคลหรือของเล่นบางอย่าง
4. 10 ถึง 12 เดือน:
- พัฒนาการด้านร่างกาย:
- ยืนอยู่เพียงระยะสั้นๆ โดยไม่ต้องรองรับ และอาจดำเนินการบางอย่าง
- สามารถหยิบสิ่งของขนาดเล็กได้ด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ (จับแบบหนีบ)
- พวกเขาเริ่มเดินได้ด้วยตนเอง แม้ว่าอาจจะยังทรงตัวไม่ได้ก็ตาม
- พัฒนาการทางปัญญา:
- เลียนแบบการกระทำและพฤติกรรม เช่น การปรบมือ
- ชี้ไปที่วัตถุเพื่อดึงดูดความสนใจ
- พัฒนาการทางสังคม/อารมณ์:
- แสดงอารมณ์หลากหลายตั้งแต่ความสุขจนถึงความหงุดหงิด
- แสดงความผูกพันกับผู้ดูแลหลัก และอาจขี้อายเมื่ออยู่กับคนแปลกหน้า
ตัวอย่างตารางรายวันของทารก
นี่คือตัวอย่างตารางการดูแลเด็กเพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง เมื่อสร้างตารางการดูแลเด็กก่อนวัยเรียน สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาถึงความต้องการของทารกแต่ละคน ระยะการเจริญเติบโต และข้อกำหนดเฉพาะ เวลาด้านล่างนี้เป็นเพียงตัวอย่างและสามารถปรับให้เหมาะกับกิจวัตรประจำวันของการดูแลเด็กได้
- 08.00 – 09.00 น.: รับ-ส่ง + ขวด/อาหารเช้า
- 09.00 – 09.30 น.: ผ้าอ้อม
- 09.30 – 10.00 น.: เวลาเล่นคว่ำหน้า + การเล่นสัมผัส (ของเล่น พื้นผิวที่นุ่มนวล)
- 10.00 – 10.20 น.: ขวดนม/ของว่างตอนเช้า
- 10.20 – 10.40 น.: ผ้าอ้อม/ทำความสะอาด
- 10.40 น. – 11.40 น.: เวลางีบหลับ
- 11.40 – 12.00 น.: ขวด/อาหารกลางวัน
- 12.00 น. – 12.30 น.: เวลาเล่านิทาน (หนังสือ + เพลง)
- 12:30 น. – 13:00 น.: เวลาอยู่กลางแจ้ง (เดินด้วยรถเข็นเด็กหรือบริเวณปลอดภัย)
- 13.00 – 14.00 น.: เวลางีบหลับ
- 14.00 – 14.30 น.: ขวด/ขนม
- 14.30 – 15.30 น.: การเล่นที่กระตุ้นประสาทสัมผัส (ของเล่นเขย่า ของเล่นนุ่ม)
- 15.30 – 16.30 น.: เวลาเล่นส่วนบุคคล
ตารางกิจกรรมสำหรับเด็กวัยเตาะแตะ
ตารางเรียนอนุบาลสำหรับเด็กวัยเตาะแตะมีความจำเป็นในการช่วยให้เด็กเล็กสร้างกิจวัตรประจำวันที่สนับสนุนการเติบโตของพวกเขา เมื่อสร้างตารางเรียน สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงพัฒนาการของเด็กวัยเตาะแตะ เช่น ทักษะการเคลื่อนไหว ภาษา และความสามารถทางสังคม
พัฒนาการสำคัญสำหรับเด็กวัยเตาะแตะ
เด็กวัยเตาะแตะจะเติบโตอย่างรวดเร็วและมีพัฒนาการตั้งแต่วัยทารกจนถึงวัยก่อนเข้าเรียน ในช่วงอายุ 1-3 ขวบ เด็กวัยเตาะแตะจะผ่านช่วงพัฒนาการที่สำคัญต่างๆ มากมาย เช่น ทักษะการเคลื่อนไหว ภาษา ความสามารถทางปัญญา และการเติบโตทางสังคมและอารมณ์ ต่อไปนี้คือช่วงพัฒนาการสำคัญๆ ที่คุณคาดหวังได้ในแต่ละช่วงวัย:

1 ถึง 1.5 ปี (12-18 เดือน)
- ทักษะการเคลื่อนไหว:
- เดินได้เองและสามารถเริ่มวิ่งได้
- สามารถหยิบสิ่งของขนาดเล็กและถือช้อนหรือถ้วยได้
- การพัฒนาภาษา:
- เข้าใจคำสั่งง่ายๆ เช่น “มาที่นี่” หรือ “ให้ฉัน”
- พูดคำง่ายๆ ไม่กี่คำ (เช่น “แม่” หรือ “พ่อ”)
- ทักษะการรู้คิด:
- แสดงความสนใจในการสำรวจบริเวณโดยรอบ
- เริ่มเข้าใจถึงความคงอยู่ของวัตถุ (รู้ว่าสิ่งต่างๆ ยังคงมีอยู่เมื่อมองไม่เห็น)
- พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม:
- อาจแสดงความกลัวต่อคนแปลกหน้า
- สามารถแสดงอารมณ์ เช่น ความสุข หรือความหงุดหงิด
1.5 ถึง 2 ปี (18-24 เดือน)
- ทักษะการเคลื่อนไหว:
- สามารถเดินได้อย่างสม่ำเสมอ และอาจเริ่มวิ่งหรือปีนป่ายได้
- เตะบอล ขว้างสิ่งของ และเริ่มวางบล็อกซ้อนกัน
- การพัฒนาภาษา:
- คำศัพท์เพิ่มขึ้นเป็น 50-100 คำ
- เริ่มรวมคำสองคำเข้าด้วยกัน ("อยากได้คุกกี้")
- ทักษะการรู้คิด:
- เริ่มต้นการแก้ไขปัญหา (เช่น การคิดหาวิธีที่จะวางบล็อกซ้อนกัน)
- เข้าใจคำสั่งง่ายๆ เช่น “ใส่ของเล่นลงในกล่อง”
- พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม:
- แสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสระ (ต้องการทำสิ่งต่างๆ "ด้วยตัวเอง")
- ประสบกับอาการโมโหฉุนเฉียวเนื่องจากความหงุดหงิดหรือไม่สามารถแสดงความต้องการได้
2-2.5 ปี (24-30 เดือน)
- ทักษะการเคลื่อนไหว:
- ปีนขึ้นไปบน เฟอร์นิเจอร์ห้องเรียนวิ่งได้มั่นใจมากขึ้น และสามารถเตะบอลไปในทิศทางที่ถูกต้องได้
- เริ่มวาดรูปทรงง่ายๆ หรือลายเส้น
- การพัฒนาภาษา:
- คลังคำศัพท์ขยายเป็น 200-300 คำ
- สามารถสร้างประโยคสั้นๆ ได้ เช่น "ฉันต้องการน้ำผลไม้เพิ่ม"
- ทักษะการรู้คิด:
- เริ่มเล่นตามบทบาท (เช่น ป้อนอาหารตุ๊กตา, แกล้งทำเป็นขับรถ)
- จดจำและตั้งชื่อวัตถุทั่วไปและส่วนต่างๆ ของร่างกาย
- พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม:
- แสดงความปรารถนาในการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนแต่ก็อาจมีปัญหาในการแบ่งปัน
- สามารถแสดงอารมณ์พื้นฐาน (ความสุข ความเศร้า ความโกรธ) ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
2.5 ถึง 3 ปี (30-36 เดือน)
- ทักษะการเคลื่อนไหว:
- กระโดดทั้งสองเท้าออกจากพื้นและทรงตัวด้วยเท้าข้างเดียวเป็นเวลาสองสามวินาที
- เริ่มแต่งตัวและถอดเสื้อผ้าโดยมีคนช่วย
- การพัฒนาภาษา:
- มีคำศัพท์มากกว่า 500 คำ
- ใช้ประโยคเรียบง่ายและถามคำถาม ("นั่นคืออะไร")
- ทักษะการรู้คิด:
- เริ่มเข้าใจแนวคิดเรื่องเวลา (เมื่อวาน วันนี้)
- สามารถแก้ปริศนาที่เรียบง่ายและปฏิบัติตามคำสั่งหลายขั้นตอนได้
- พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม:
- พัฒนาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและมีส่วนร่วมในเกมเล่นบทบาทที่ซับซ้อนมากขึ้น
- แสดงความเห็นอกเห็นใจโดยการปลอบใจผู้อื่นเมื่อพวกเขารู้สึกไม่สบายใจ
ตัวอย่างตารางการดูแลเด็กวัยเตาะแตะ
นี่คือตัวอย่างตารางการดูแลเด็กวัยเตาะแตะ ซึ่งเป็นเพียงแนวทางเท่านั้นและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของเด็กและสภาพแวดล้อมของสถานรับเลี้ยงเด็กแต่ละแห่ง เมื่อสร้างตารางการดูแลเด็กในแต่ละวันของโรงเรียนอนุบาล สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะพัฒนาการของเด็ก ความชอบ และกิจวัตรเฉพาะที่อาจจำเป็น
- 08.00 – 09.00 น.: รับ-ส่ง+อาหารเช้า
- 09.00 – 09.20 น.: ผ้าอ้อม/พักเข้าห้องน้ำ
- 09.20 – 09.50 น. : เวลาวงกลม (หนังสือง่ายๆ + เพลง)
- 09.50 – 10.10 น.: ของว่างตอนเช้า
- 10.10 – 10.30 น.: ผ้าอ้อม/ทำความสะอาด
- 10.30 – 11.15 น.: การเล่นแบบโต้ตอบ (บล็อกตัวต่อ ปริศนา)
- 11.15 น. – 11.45 น.: อาหารกลางวัน
- 11.45 – 12.15 น.: เวลาเล่านิทาน (หนังสือ + เพลง)
- 12:15 น. – 13:00 น.: การเล่นกลางแจ้ง/กิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย (วิ่ง ปีนป่าย)
- 13.00 – 13.45 น. : เวลางีบหลับหรือพักผ่อนอย่างเงียบสงบ
- 13.45 – 14.00 น.: อาหารว่าง
- 14.00 – 14.45 น.: กิจกรรมทางศิลปะสัมผัสหรือสร้างสรรค์ (การวาดรูป การเล่นแป้งโดว์)
- 14.45 – 16.00 น.: เวลาเล่นส่วนบุคคล (สำรวจของเล่น)
ตารางเรียนก่อนวัยเรียน
ตารางเรียนก่อนวัยเรียนที่สมดุลและเป็นระบบมีความจำเป็นต่อการส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก ตารางเรียนจะช่วยให้เด็กเข้าใจกิจวัตรประจำวัน ส่งเสริมการเรียนรู้ และมีเวลาเล่น รับประทานอาหาร และพักผ่อน ด้านล่างนี้คือตัวอย่างตารางเรียนก่อนวัยเรียนแบบเต็มวันและครึ่งวัน เพื่อให้เข้าใจว่าควรจัดตารางเรียนในแต่ละวันอย่างไร

ตัวอย่างตารางรายวันก่อนวัยเรียน
ตั้งแต่ช่วงเวลาเรียนรู้ที่มีโครงสร้างไปจนถึงการเล่นอิสระและการพักผ่อน ตารางเรียนก่อนวัยเรียนในแต่ละวันประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ มากมายที่จะช่วยให้ประสบการณ์ก่อนวัยเรียนมีความสมบูรณ์แบบ ตัวอย่างด้านล่างนี้จะแสดงให้เห็นว่าจะจัดเวลาในแต่ละวันอย่างไรเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างความสนุกสนานและการเรียนรู้สำหรับเด็กเล็ก
- 08.00 – 09.00 น.: รับ-ส่ง+อาหารเช้า
- 09.00 – 09.30 น.: ผ้าอ้อม/พักเข้าห้องน้ำ
- 09.30 – 09.55 น.: เวลาวงกลม (นิทาน เพลง หุ่นกระบอก)
- 09:55 – 10:15 น.: ของว่างตอนเช้า
- 10.15 – 10.30 น.: ผ้าอ้อม/ทำความสะอาด
- 10.30 – 11.15 น.: กิจกรรมการเรียนรู้ (การนับ สี ศิลปะ)
- 11.15 น. – 11.45 น.: อาหารกลางวัน
- 11.45 – 12.15 น.: เวลาเล่านิทาน (หนังสือ + เพลง)
- 12:15 น. – 13:00 น.: การเล่นกลางแจ้ง/เวลาออกกำลังกาย (วิ่ง เล่นเกมเป็นกลุ่ม)
- 13.00 – 13.45 น. : เวลาเงียบสงบ/พักผ่อนหรืองีบหลับ
- 13.45 – 14.00 น.: อาหารว่าง
- 14.00 – 14.45 น.: กิจกรรมสัมผัสหรือสร้างสรรค์ (วาดภาพ ประดิษฐ์)
- 14.45 – 16.00 น.: เวลาเล่นส่วนบุคคล (สร้าง, เล่นตามจินตนาการ)
ตัวอย่างตารางเรียนครึ่งวันของโรงเรียนอนุบาล
ตัวอย่างตารางเรียนครึ่งวันของโรงเรียนอนุบาลต่อไปนี้จะแสดงให้เห็นถึงวิธีการจัดสมดุลระหว่างกิจกรรมกระตุ้นและช่วงพักที่จำเป็นทั้งหมดภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เพื่อให้เด็กๆ มีส่วนร่วมและมีพลังตลอดทั้งเช้า
- 08.00 – 08.30 น.: รับ-ส่ง+อาหารเช้า
- 08.30 – 09.00 น.: ผ้าอ้อม/พักเข้าห้องน้ำ
- 09.00 – 09.30 น.: เวลาวงกลม (นิทาน เพลง หุ่นกระบอก)
- 09.30 – 09.50 น.: ของว่างตอนเช้า
- 09.50 – 10.10 น.: ผ้าอ้อม/ทำความสะอาด
- 10.10 – 10.40 น.: กิจกรรมการเรียนรู้ (การนับ สี ศิลปะ)
- 10.40 – 11.00 น.: การเล่นกลางแจ้ง/เวลาออกกำลังกาย (วิ่ง เล่นเกมเป็นกลุ่ม)
- 11.00 – 11.30 น. : เวลาเล่านิทาน (หนังสือ + เพลง)
- 11.30 – 12.00 น.: อาหารกลางวัน
- 12.00 น. – 12.30 น.: เวลาเงียบสงบ/พักผ่อนหรืองีบหลับ
- 12:30 น. – 13:00 น.: เล่นฟรีและออกเดินทาง
วิธีการสร้างสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นและโครงสร้าง
ตารางเรียนก่อนวัยเรียนที่มีโครงสร้างชัดเจนไม่ได้หมายความว่าจะต้องแบ่งเวลาให้ชัดเจนและไม่สามารถต่อรองได้ เด็กก่อนวัยเรียนเป็นเด็กที่คาดเดาไม่ได้ และชีวิตก็ดำเนินไปเช่นนั้น บางครั้งตารางเรียนก็ต้องปรับเปลี่ยน คุณจะสร้างสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นและโครงสร้างในตารางเรียนก่อนวัยเรียนของคุณได้อย่างไร

ปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของเด็กๆ
แม้ว่าการปฏิบัติตามกิจวัตรประจำวันอย่างเป็นระบบจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความต้องการของเด็กควรมาเป็นอันดับแรกเสมอ การเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมและให้พักผ่อนอย่างสงบอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดหากเด็กมีปัญหาในการทำกิจกรรมบางอย่าง
อนุญาตให้มีความเป็นธรรมชาติ
การเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับช่วงเวลาพิเศษต่างๆ จะทำให้ตารางเรียนของคุณมีพลวัตมากขึ้น หากเด็กๆ สนใจในบางสิ่งเป็นพิเศษ การลองหาอะไรทำเพิ่มเติมก็อาจเป็นประโยชน์ได้ การทำเช่นนี้จะทำให้เด็กๆ มีส่วนร่วมและเรียนรู้ได้อย่างสนุกสนาน
ความท้าทายในการจัดตารางเรียนก่อนวัยเรียนและวิธีเอาชนะความท้าทายเหล่านี้
แม้ว่ากิจวัตรประจำวันที่สมดุลจะส่งผลดีต่อพัฒนาการของเด็ก แต่การสร้างและรักษาตารางเวลาที่เหมาะสมมักนำมาซึ่งความท้าทายหลายประการ การทำความเข้าใจถึงวิธีการจัดการกับความท้าทายเหล่านี้จะทำให้กระบวนการจัดการและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. การดิ้นรนกับการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนผ่านระหว่างกิจกรรมอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเด็กเล็ก ซึ่งมักจะทำให้หงุดหงิดหรือสับสน เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเหล่านี้เป็นไปอย่างราบรื่น ควรให้สัญญาณภาพหรือการได้ยิน เช่น เพลงหรือนาฬิกาจับเวลา เพื่อส่งสัญญาณเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนกิจกรรม การเตือนล่วงหน้า 5 นาทีก่อนการเปลี่ยนผ่านยังช่วยให้เด็กเตรียมพร้อมทางจิตใจ ทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่นและคาดเดาได้มากขึ้น
2. การสร้างสมดุลระหว่างการเล่นที่มีโครงสร้างและอิสระ
การหาสมดุลที่เหมาะสมระหว่างกิจกรรมที่มีโครงสร้างและการเล่นอิสระอาจเป็นเรื่องยาก โครงสร้างมากเกินไปอาจขัดขวางความคิดสร้างสรรค์ ในขณะที่เวลาว่างมากเกินไปอาจนำไปสู่การไม่สนใจ วิธีแก้ปัญหาที่ดีคือสลับกันระหว่างทั้งสองอย่าง หลังจากการเรียนรู้ที่เน้นสมาธิหรือกิจกรรมกลุ่มแล้ว ให้จัดสรรเวลาสำหรับการเล่นที่ไม่มีโครงสร้าง เพื่อให้เด็กๆ ได้ชาร์จพลังและมีส่วนร่วมในกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เป็นอิสระ
3. การจัดการระดับพลังงาน
เด็กก่อนวัยเรียนมีระดับพลังงานที่แตกต่างกัน และกิจกรรมทางกายมากเกินไปอาจทำให้เกิดการกระตุ้นมากเกินไปหรือเหนื่อยล้า เพื่อจัดการกับปัญหานี้ ให้สมดุลกิจกรรมที่มีพลังงานสูงกับช่วงเวลาที่เงียบสงบ หลังจากกิจกรรมที่เข้มข้นกว่า เช่น การเล่นกลางแจ้ง ตารางประจำวันของโรงเรียนอนุบาลจะรวมกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น เวลาเล่านิทานหรือเวลางีบหลับ เพื่อให้เด็กๆ ได้ผ่อนคลายและพร้อมสำหรับการเล่นรอบต่อไป
4. การให้ความสนใจเป็นรายบุคคลอย่างจำกัด
การให้ความสนใจเด็กแต่ละคนเป็นรายบุคคลเมื่อต้องอยู่เป็นกลุ่มอาจเป็นเรื่องยาก เพื่อแก้ปัญหานี้ ให้ใช้กิจกรรมกลุ่มย่อยที่คุณสามารถให้การสนับสนุนที่มุ่งเน้นมากขึ้นในขณะที่เด็กคนอื่น ๆ ทำงานอิสระ งานอิสระหรือกิจกรรมตามสถานีสามารถช่วยให้มั่นใจได้ว่าเด็กแต่ละคนจะได้รับความสนใจที่ต้องการโดยไม่รบกวนกิจกรรมในแต่ละวัน
5. การสร้างสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นและโครงสร้าง
การกำหนดตารางเวลาให้ยืดหยุ่นพอเหมาะกับอารมณ์หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดของเด็กๆ ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาโครงสร้างให้สม่ำเสมอพอจึงจะเป็นไปได้ยาก สิ่งสำคัญคือต้องมีกิจกรรมหลักที่แน่นอน เช่น เวลากินขนมและงีบหลับ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความยืดหยุ่นในด้านอื่นๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น คุณสามารถขยายกิจกรรมที่ชื่นชอบออกไปหากเด็กๆ มีส่วนร่วมมาก หรือย่อกิจกรรมลงเมื่อความสนใจเริ่มลดลง
6. ตอบสนองความต้องการของเด็กที่แตกต่างกัน
เด็กก่อนวัยเรียนมีความต้องการพัฒนาการที่แตกต่างกัน และการจัดตารางเวลาให้เหมาะกับเด็กแต่ละคนอาจเป็นเรื่องท้าทาย เพื่อแก้ปัญหานี้ ควรแยกกิจกรรมต่างๆ ออกให้เหมาะกับช่วงพัฒนาการต่างๆ จัดกลุ่มย่อยเพื่อให้ได้รับความสนใจเป็นรายบุคคลมากขึ้น และปรับกิจกรรมตามความต้องการของเด็ก เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กทุกคนมีส่วนร่วมและได้รับการสนับสนุน
7. การขาดการสื่อสารระหว่างผู้ปกครอง/ผู้ดูแล
หากขาดการสื่อสารที่ชัดเจนกับผู้ปกครอง ก็ยากที่จะเข้าใจชีวิตที่บ้านของเด็ก และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพฤติกรรมหรือการเข้าร่วมกิจกรรมของลูกๆ ก่อนวัยเรียนได้ ควรสื่อสารกับผู้ปกครองเป็นประจำผ่านการอัปเดตรายวันหรือรายงานรายสัปดาห์เพื่อแก้ไขปัญหานี้ วิธีนี้จะช่วยให้คุณทราบถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่บ้าน เช่น รูปแบบการนอนหลับหรือกิจกรรมในครอบครัว ซึ่งอาจส่งผลต่ออารมณ์หรือความต้องการของลูกๆ ในช่วงก่อนวัยเรียน
8. การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการบริหาร
ตารางเรียนก่อนวัยเรียนมักต้องเป็นไปตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบหรือหลักสูตร ซึ่งอาจจำกัดความยืดหยุ่นได้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อจำกัดเหล่านี้ ให้รวมกิจกรรมการศึกษาที่จำเป็นเข้ากับการเรียนรู้แบบเล่น วิธีนี้จะช่วยให้คุณบรรลุมาตรฐานที่จำเป็นได้ ขณะเดียวกันก็ทำให้เด็กๆ มีส่วนร่วม สร้างสรรค์ และสนุกสนานไปกับแต่ละวัน
บทสรุป
สรุปได้ว่า ตารางเวลาเรียนก่อนวัยเรียนที่วางแผนไว้อย่างดีจะช่วยส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้ออาทรซึ่งเด็กๆ สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ เด็กๆ สามารถพัฒนาทักษะที่จำเป็นได้อย่างสมดุลโดยผสมผสานกิจกรรมที่มีโครงสร้าง ช่วงเวลาพักผ่อน และโอกาสในการเล่นอิสระ ตารางเวลาเรียนรายวันสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนที่รอบคอบจะช่วยเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กๆ และครูผู้สอน
ค้นพบผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเรา
เข้าถึงแค็ตตาล็อกที่ครอบคลุมของเราซึ่งมีเฟอร์นิเจอร์คุณภาพเยี่ยมและอุปกรณ์การเล่นสำหรับโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียน